Wednesday, January 2, 2008

ชาข้าวบาร์เลย์

ทำไมเดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ดื่มชาข้าวบาร์เลย์??? ชานี้มาจากไหน? ทำไมเรียกว่าชา?​ ไม่เห็นมีใบชาเลย มั่วรึเปล่า? หลังจากทำการศึกษา (จาก wikipedia) กับคุยกับคนญี่ปุ่น ก็พบข้อมูลเกี่ยวกับชาบาร์เลย์ว่า

ชาข้าวบาร์เลย์เป็นที่นิยมกันมากสำหรับบรรดาชาวญี่ปุ่นและชาวเกาหลีทุกเพศ ทุกวัย ในทุกฤดูกาล คนส่วนใหญ่นิยมดื่มกันทั้งแบบร้อนแบบเย็น ร้านอาหารในประเทศญี่ปุ่นบางร้านก็เสิร์ฟชาบาร์เลย์แทนการเสิร์ฟชาเขียวด้วย บรรดาแม่ๆ ชาวญี่ปุ่นกะเกาหลีนิยมให้ลูก (เบบี้เด็กอ่อน) ดื่มชาข้าวบาร์เลย์เพราะไม่มีคาเฟอีนและเชื่อกันว่าทำให้เด็กเจริญอาหาร แม่บ้านก็มีชาข้าวบาร์เลย์แช่ติดตู้เย็นไว้ พอลูกๆ กลับมาจากวิ่งเล่นก็มาดื่มชื่นใจได้เลย 

บริษัทญี่ปุ่นทำการศึกษาจนพบว่า ชาข้าวบาร์เลย์มีคุณสมบัติช่วยลดความข้นของเลือดได้เพราะมีสารชื่อ alkylpyrazine 
จริงๆ แล้วถึงไม่มีผลการวิจัยออกมา คนญี่ปุ่นก็เชื่อว่าชาข้าวบาร์เลย์ช่วยลดพิษในเลือด ทำให้เลือดสะอาดขึ้น ซึ่งชาวจีนก็เชื่อว่าการดื่มชาข้าวบาร์เลย์นั้นจะส่งผลให้ความเครียดลดลงอีกด้วย

ในซูเปอร์มาร์เก็ตตอนนี้ มีขายทั้งแบบเมล็ดกะแบบถุงชาแต่มาจากญี่ปุ่นทั้งนั้น หาได้ตามแผนกอาหารญี่ปุ่น ยี่ห้อ House จะเป็นแบบถุงชา ใช้ง่าย สะดวก และไม่แพงเลย ส่วนแบบเมล็ดที่ดังๆ ก็จะเป็นถุงผอมๆ ยาวๆ ยี่ห้อ Hitachiya คนญี่ปุ่นเรียกว่า มุงิชา (mugicha) ส่วนคนเกาหลีเรียกว่า โบริชา (bori cha) ปกติแล้วใช้วิธีต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่ข้าวลงไปต้มจนได้กลิ่นหอม สีจะออกมาน้ำตาลเข้ม แล้วรินดื่มแต่น้ำ 

คนญี่ปุ่นนิยมดื่มชาข้าวบาร์เลย์โดยไม่ผสมอะไรเลย เวลาดื่ม จะได้กลิ่นหอมฟุ้งของชาก่อนเลย แล้วจะได้รับรสและกลิ่นหอมเต็มลิ้นไปหมด ซึ่งปกติแล้วลิ้นส่วนต่างๆจะรับรสต่างๆ กันแต่สำหรับชาแล้ว เหมือนจะได้รสขมอ่อนๆ ปนมากับความหอมเต็มๆ สดชื่นมากๆ ขนาดต้องลองซักครั้งแล้วจะติดใจ

ส่วนชาวเกาหลีจะนิยมผสมข้าวโพดคั่วไปกับข้าวบาร์เลย์ด้วยเพราะชอบรสหวานอ่อนๆ ของข้าวโพดคั่วที่ผสมกับรสขมนิดๆ ของชาข้าวบาร์เลย์

No comments: